จุดเปลี่ยนสำคัญของซีซั่น?! ส่องโปรแกรม 10 เกมสุดโหด ลิเวอร์พูล ส่งท้ายปี 2023

thumbnail

เมื่อผ่านพ้นช่วงโปรแกรมทีมชาติรอบปัจจุบันที่กำลังฟาดแข้งกันอยู่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ก็จะเข้าสู่โปรแกรมการแข่งขัน 10 นัดสุดท้าย (รวมทุกรายการ) ของปี 2023 ซึ่งถือว่าหนักและโหดทีเดียว และอาจจะเป็นช่วง 10 เกมที่สามารถกำหนดทิศทางของทีมในฤดูกาล 2023-24 ได้เลย

 

พรีเมียร์ลีก : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เยือน) – วันเสาร์ที่ 25 พ.ย. 

– ยูฟ่า ยูโรปา ลีก : ลาสค์ ลินซ์ (เหย้า) – วันพฤหัสบดีที่ 30 พ.ย. 

– พรีเมียร์ลีก : ฟูแล่ม (เหย้า) – วันอาทิตย์ที่ 3 ธ.ค.

– พรีเมียร์ลีก : เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (เยือน) – วันพุธที่ 6 ธ.ค.

– พรีเมียร์ลีก : คริสตัล พาเลซ (เยือน) – วันเสาร์ที่ 9 ธ.ค.

– ยูฟ่า ยูโรปา ลีก : อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ (เยือน) – วันพฤหัสบดีที่ 14 ธ.ค. 

– พรีเมียร์ลีก : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (เหย้า) – วันอาทิตย์ที่ 17 ธ.ค.  

– คาราบาว คัพ (รอบก่อนรองฯ) : เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เหย้า) – วันพุธที่ 20 ธ.ค.

– พรีเมียร์ลีก :  อาร์เซน่อล (เหย้า) – วันเสาร์ที่ 23 ธ.ค.

– พรีเมียร์ลีก : เบิร์นลีย์ (เยือน) – วันอังคารที่ 26 ธ.ค.

 

จากโปรแกรมข้างบนจะเห็นได้ว่า ลิเวอร์พูล จะต้องลงเตะ 10 เกม ภายในระยะเวลา 31 วัน หรือเฉลี่ยลงเตะทุกๆ

 3.1 วัน ซึ่งกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ จำเป็นต้องจัดระเบียบและบริหารทีมให้ดี โดยเฉพาะเรื่องสภาพร่างกายกลุ่มผู้เล่นแกนหลัก 

 

ถ้วย ยูฟ่า ยูโรปา ลีก อาจไม่น่าเป็นห่วง เพราะ ลิเวอร์พูล กำลังนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม อี ซึ่งหากเปิดบ้านเอาชนะ ลาสค์ ลินซ์ ในวันสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายนได้ และ ตูลูส เก็บชัยไม่สำเร็จในการเปิดบ้านรับมือ อูนิยง แซงต์-ชิลลัวส์ ทีมของ คล็อปป์ จะการันตีแชมป์กลุ่ม พร้อมคว้าตั๋วลุยรอบ 16 ทีมสุดท้ายทันที โดยที่ไม่ต้องรอลุ้นนัดสุดท้าย 

 

หันมามองในถ้วย คาราบาว คัพ ที่จะฟาดแข้งช่วงปลายปี ลิเวอร์พูล มีคิวเตะรอบก่อนรองชนะเลิศ หรือรอบ 8 ทีมสุดท้าย และได้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เป็นคู่ต่อกร ซึ่งถือว่าประมาทไม่ได้เลย เพราะรอบที่แล้ว “ขุนค้อน” ของกุนซือ เดวิด มอยส์ ผ่าน อาร์เซน่อล มาได้ แต่ข้อได้เปรียบสำหรับ “หงส์แดง” คือการได้เตะที่ แอนฟิลด์ ทำให้พวกเขามีโอกาสดีพอสมควรที่จะผ่านเข้ารอบตัดเชือก

 

แน่นอน พรีเมียร์ลีก คือถ้วยที่ ลิเวอร์พูล ให้ความสำคัญมากที่สุด และโปรแกรมช่วงส่งท้ายปี 2023 ถือว่าโหดลากไส้เลยทีเดียว เพราะเมื่อผ่านพ้นช่วงโปรแกรมทีมชาติรอบนี้ไป พวกเขาก็จะเปิดหัวด้วยการออกไปเยือนทีมแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทันที ซึ่งถือเป็นศึกชิงตำแหน่งจ่าฝูงด้วย โดยตอนนี้ “หงส์แดง” รั้งอันดับสอง มี 27 แต้ม ส่วน “เรือใบฟ้า” อยู่ที่หนึ่ง มี 28 แต้ม  

 

หลังจากนั้น 6 เกมลีก ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมเตะในบ้านและนอกบ้านอย่างละ 3 นัดพอดี โดยจะเปิดรัง แอนฟิลด์ รับมือ ฟูแล่ม ช่วงต้นเดือนหน้า ต่อด้วยการเตะนอกบ้านสองนัดติดกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ คริสตัล พาเลซ ซึ่งถึงแม้ไม่ใช่เป็นการเจอกับทีมใหญ่ แต่การออกไปเยือนทีมรองบ่อนแบบนี้ ประมาทไม่ได้เลย และอาจพลาดท่าถึงขั้นแพ้ด้วย หากเล่นกันไม่ดีพอ หรือเจอกับวันร้ายๆ ที่อะไรก็ไม่เป็นใจ 

 

สองเกมต่อมา ถือเป็นไฮไลท์สำคัญเลย เพราะ “หงส์แดง” จะต้องดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล แบบติดๆ กัน (โดยที่มีเกม คาราบาว คัพ รอบก่อนรองฯ ขั้นกลาง) แต่โชคดีสำหรับพวกเขาที่สองเกมนี้เป็นการเตะที่ แอนฟิลด์ ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในเรื่องบรรยากาศและเสียงเชียร์จากเหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” ก่อนปิดท้ายปี 2023 ด้วยการออกไปเยือน เบิร์นลีย์ ทีมโซนท้ายตาราง (ปัจจุบันรั้งบ๊วย)

 

ต่อให้ผ่านพ้นช่วงโปรแกรมโหดชุดนี้ไป การแข่งขันก็ยังคงเหลือเส้นทางอีกยาวไกลอยู่ดี และอะไรๆ ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น แต่อย่างน้อยช่วงโปรแกรม 10 เกมส่งท้ายปี 2023 ของ ลิเวอร์พูล น่าจะสามารถชี้วัดอะไรได้บางอย่าง โดยเฉพาะเรื่องโมเมนตัมที่จะทำให้เราพอรู้ว่า ฤดูกาลนี้ “หงส์แดง” สามารถคาดหวังความสำเร็จจากการแข่งขันรายการใดได้บ้าง